ทีมยุทธศาสตร์ทยอยลาออก
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า หลังจากคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ลาออกจากประธานยุทธศาสตร์พรรค ทำให้กรรมการยุทธศาสตร์พรรคลาออกตามไปด้วย อาทิ นายโภคิน พลกุล และนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา มือกฎหมายสำคัญของพรรค นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง มือเศรษฐกิจ รวมถึงนายวัฒนา เมืองสุข ที่เป็นประธานการแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทย แต่นายวัฒนายืนยันยังคงเป็นสมาชิกของพรรคเพื่อไทย ที่พร้อมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยตามเดิม ส่วนคณะกรรมการบริหารพรรคบางคน อาทิ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. ได้ลาออกจากตำแหน่งรองเลขาธิการพรรค เช่นกัน โดยขอทำหน้าที่ ส.ส.อย่างเต็มที่
ส.ส.รอซักถามเหตุผลที่ไขก๊อก
ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคเพื่อไทยว่า หลังจากคุณหญิงสุดารัตน์ประกาศลาออก กลุ่มไลน์ “ทางการ ส.ส.เพื่อไทย” สอบถามถึงกรณีที่เกิดขึ้น เพราะต่างไม่เข้าใจเหตุผลในการลาออกครั้งนี้ โดยเฉพาะกลุ่ม ส.ส.อีสาน ที่ให้การยอมรับในการนำของคุณหญิงสุดารัตน์ เพราะมองว่าคุณหญิงสุดารัตน์ ทุ่มเทให้กับพรรคอย่างเต็มที่ เมื่อลาออกสมาชิกไม่ทราบเหตุผลควรจัดประชุม เพื่อชี้แจงสมาชิกรับทราบเหตุผลที่แท้จริง
กลุ่มอีสานหวังดัน “สุทิน” ขึ้นนำ
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ในกลุ่มไลน์ “ทางการ ส.ส.เพื่อไทย” มีผู้เข้าแสดงความเห็นกันหลากหลายถึงการปรับเปลี่ยนโครงสร้างบริหารพรรค โดยหนึ่งใน ส.ส.อีสานได้นำเสนอบุคคลที่เหมาะสมจะเป็นหัวหน้าพรรคคนต่อไป เนื้อหาส่วนสำคัญระบุว่าในเมื่อเหตุการณ์และสถานการณ์ของพรรคเราเป็นเช่นนี้ ณ วันนี้ทุกตำแหน่งของฝ่ายบริหารต้องแสดงสปิริตลาออก เพื่อปรับกระบวนการของพรรคใหม่ พรรคพวกที่เป็น ส.ส.ก็ไม่ต้องตกใจ เพราะเราทำเพื่อการเปลี่ยนแปลงไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้น เพื่อพร้อมในการต่อสู้อนาคตอันใกล้นี้ ถึงเวลาแล้วที่เราจะขอคนอีสานเป็นคนนำ แต่การทำงานในบริบทความเป็นพรรค การเมืองต้องการการมีส่วนร่วม คนทำงานที่มีความสามารถ เชื่อเถอะครับว่าคนอีสานมีความพร้อม และพร้อมจับมือไปข้างหน้าให้มีเกียรติศักดิ์ศรี สำหรับบุคคลที่ ส.ส.อีสานเห็นว่ามีความเหมาะสมจะดันชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค คือนายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน และ ส.ส.มหาสารคาม เนื่องจากเป็นผู้ที่มีประสบการณ์การเมือง ทันเกมในสภาฯ มีบุคลิกประนีประนอมประสานงานได้ทุกฝ่าย และได้รับการยอมรับจากคนอีสานและ ส.ส.อีสาน ขณะเดียวกันกลุ่มภาคเหนือ โดยเฉพาะนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ แกนนำพรรค ยังมองว่า ในสถานการณ์เวลานี้ ยังไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนหัวหน้า รวมทั้งที่ผ่านมานายสมพงษ์ยังทำหน้าที่ได้ดี ควรดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคและผู้นำฝ่ายค้านต่อไป
“หญิงอ้อ” นำทัพทวงคืนบัลลังก์
ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า เหตุผลที่พรรคเพื่อไทยต้องปรับโครงสร้างใหม่ เพราะต้องการสร้างพรรคให้ยิ่งใหญ่เหมือนสมัยพรรคไทยรักไทย กอบกู้วิกฤติศรัทธา ทำพรรคให้มีทิศทาง ชิงกระแสประชาชน กระแสประชาธิปไตยจากพรรคก้าวไกล กลับมาเป็นเสาหลักที่แข็งแกร่ง หลังรัฐธรรมนูญปี 60 ที่ใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียวทำให้ต้องแตกพรรคแกนนำส่วนหนึ่งออกไป และเกิดอุบัติเหตุการเมืองอีกทำให้ขาลอย หลายคนแยกตัวออกไปเพราะเข้ากับแกนนำซีกคุณหญิงสุดารัตน์ไม่ได้ และต้องการจะกลับมา เพียงแต่โครงสร้างพรรคไม่เอื้ออำนวย ดังนั้นจึงต้องปรับโครงสร้าง ปิดทางให้ทุกคน ทุกกลุ่มกลับมาทำงานร่วมกัน ในลักษณะคานอำนาจ แยกกลุ่ม ก๊วน และรวมกันเพื่อต่อสู้ในศึกเลือกตั้งครั้งใหม่ บนสมมติฐานการคาดหวังว่าจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กลับไปใช้ระบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ แต่ถ้าแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่สำเร็จอาจต้องเปลี่ยนแผนแยกพรรคแบบเดิม จึงจำเป็นต้องได้ผู้มีบารมีตัวจริงมาอยู่เบื้องหลังการนำพรรค ดังนั้นคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยา นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จะเข้ามานำทัพ และเป็นผู้ประสานงานด้วยตัวเอง โดยจะไม่รับตำแหน่งทางการเมืองใดๆทั้งสิ้น จะรวบรวมนักการเมืองที่แตกออกไปทั้งหมดให้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เพื่อให้การบริหารงานเป็นเอกภาพ จึงต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างเดิมให้มาทำงานภายใต้คุณหญิงพจมานโดยตรง และจะมี กก.บห.พรรคน้อยลงกว่าเดิม แต่กระจายตัวแทนจากทุกกลุ่มเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น
“บิ๊กตู่” ยักท่าชื่อ รมว.คลังใหม่
วันเดียวกันเวลา 16.00 น. ที่ไบเทค บางนา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน ระบุว่า นายกฯได้รายชื่อ รมว.คลังคนใหม่แล้วว่า “เหรอ เมื่อท่านบอกก็ฟังท่านสิ” ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า รมว.คลังคนใหม่ชื่ออะไร พล.อ.ประยุทธ์ย้อนถาม กลับว่า “ใครล่ะ ชื่ออะไรล่ะ แล้วท่านบอกว่าใคร” ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์เดินออกไปจากวงสัมภาษณ์ ได้หันกลับมากล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “ฉันรู้ของฉันคนเดียว ก็รอดูไป เดี๋ยวก็รู้”
“ประสงค์” ปัดถูกทาบขอพักก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า หลังนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯ และ รมว. พลังงาน ระบุว่า นายกฯได้ตัว รมว.คลังคนใหม่แล้วนั้น ทำให้หลายคนที่มีชื่อเป็นแคนดิเดตถูกจับตามอง โดยเฉพาะนายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง ที่ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจ และบริษัทต่างๆ ทำให้ถูกคาดการณ์ว่าเตรียมแต่งตัวเข้ารับตำแหน่ง รมว.คลังคนใหม่ หลังเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.นี้ ล่าสุดนายประสงค์ พูนธเนศ เปิดเผยว่า เป็นการลาออกตาม หลักธรรมาภิบาล เพราะจะพ้นวาระการดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลัง เนื่องจากการเป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจเป็นในฐานะผู้แทนกระทรวงการคลัง ดังนั้นเมื่อจะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.นี้ จึงต้องลาออกตามระเบียบของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และยื่นหนังสือลาออกตั้งแต่ช่วงที่นายปรีดี ดาวฉาย เป็น รมว.คลัง ยืนยันไม่ได้รับ การทาบทามจากนายกฯ และหากมีการทาบทามจริง ตนคงปฏิเสธ เนื่องจากทำงานในราชการมากว่า 39 ปีแล้ว ต้องการพักผ่อนหลังจากนี้
“สมชัย-ชาติชาย” ขอนิ่งไว้ก่อน
ขณะที่นายสมชัย สัจจพงษ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นหนึ่งในแคนดิเดตว่าถูกทาบทามให้นั่ง รมว.คลัง ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธกระแสข่าวดังกล่าว โดยระบุเพียงสั้นๆว่า “ไม่ขอพูดในเรื่องนี้” ส่วนด้านนายชาติชาย พยุหนาวีชัย อดีตผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ยืนยันยังไม่ได้รับการทาบทามจากนายกฯ คาดว่าเป็นการผลักดันชื่อจากผู้ใหญ่ในวงการ
ส.ว.เย้ยฝ่ายค้านอ่อนหัดไม่ทันเกม
นายวันชัย สอนศิริ ส.ว. กล่าวถึงกรณีฝ่ายค้านไม่เข้าร่วมเป็นกรรมาธิการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนรับหลักการ จำนวน 6 ฉบับ ว่า ข้อบังคับการประชุมร่วมรัฐสภา ข้อที่ 121 มีเจตนาให้ทุกฝ่ายหารือร่วมกัน แต่เมื่อองค์ประกอบไม่ครบ ข้อตกลงที่ได้อาจไม่เป็นไปตามที่ทุกฝ่ายต้องการ กลายเป็นการตบมือข้างเดียว อาจก่อให้เกิดปัญหามากกว่าแก้ปัญหา ทำให้เวลา 30 วันที่ขยายออกไปเสียเปล่าหรือไม่ ยอมรับว่าตลอด 2 วันของการอภิปรายญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผิดหวังกับการทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างมาก ไม่โทษพรรคร่วมรัฐบาล ส.ว.ที่ใช้ข้อบังคับตั้ง กมธ. พิจารณาก่อนรับหลักการ 30 วัน แต่โทษฝ่ายค้านที่ไม่เป็นเอกภาพ อ่อนแอ ไม่ทันเกมวางยุทธศาสตร์การแก้รัฐธรรมนูญอย่างจริงจัง ทั้งที่กระแสการแก้รัฐธรรมนูญได้รับการสนับสนุนจากประชาชนจำนวนมาก แต่กลับทำงานเฉพาะหน้า ไม่เตรียมเกมวางคนไว้สู้เลย น่าจะรู้อยู่แล้วว่าจะมีเกมอะไรจากฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาล และส.ว.บ้าง ไม่เหมือนสมัยพรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน ทำงานกันเต็มที่ มียุทธศาสตร์ วางคนวางตัว เตรียมเกมไว้
อย่ามาโยง รบ.ชักใยบงการ ส.ว.
นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกฯ ไม่ได้ขัดข้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่อยากให้พยายามโยงว่ารัฐบาลอยู่เบื้องหลัง เพราะไม่มีใครไปสั่ง ส.ว.ได้ เห็นได้ชัดเจนว่า ส.ว.เป็นอิสระ ไม่ได้เออออตามรัฐบาล ขอให้ทุกฝ่ายเข้าใจ ม็อบนักศึกษาก็ขอให้ใจเย็นๆ มีสติ รออีกไม่นาน
“เทพไท” จี้รับวาระแรกใน 30 วัน
นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า รู้สึกเป็นห่วงสถานการณ์การเมือง หลังจากที่ประชุมรัฐสภามีมติตั้งกรรมาธิการศึกษาญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนลงมติรับหลักการในวาระที่หนึ่งนั้น ถูกมองว่าเป็นการซื้อเวลาแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเป็นการเติมเชื้อไฟในม็อบ ที่กำลังเคลื่อนไหวเรียกร้องขณะนี้ ได้นำเสนอเรื่องนี้ต่อผู้มีอำนาจในรัฐบาลแล้วว่าควรส่งสัญญาณให้ ส.ว.จำนวนไม่น้อยกว่า 84 คน ลงมติรับหลักการในวาระแรกไปก่อน เพื่อคลายสถานการณ์ชุมนุมมวลชนที่กำลังร้อนแรงที่จะเกิดขึ้นในช่วงเดือน ต.ค. อาจนำไปสู่ขั้นวิกฤติของบ้านเมืองได้ กมธ.ที่ตั้งขึ้นมาต้องเร่งหาข้อสรุป และเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ เพื่อลงมติรับหลักการในวาระแรกให้เร็วที่สุด เพื่อเป็นการปลดล็อก และผ่อนคลายบรรยากาศทางการเมืองออกไป ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายสนับสนุนญัตติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 เพื่อจัดตั้ง ส.ส.ร. ของพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่มีหลักการเดียวกัน หากญัตติเป็นอันตกไป จะมีผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“บอล” ชี้ ส.ว.จะต้องเสียใจที่สุด
ที่ห้องประชุมอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว คณะกรรมาธิการกิจการสภาผู้แทนราษฎร ร่วมกับภาคประชาชน จัดกิจกรรมตลาดนัดสภาฯกับประชาชน เสวนา “เยาวชนกับการเมือง” นายธนวัฒน์ วงศ์ไชย หรือบอล นิสิตคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ แกนนำผู้จัดกิจกรรมวิ่งไล่ลุง กล่าวว่า เหตุที่เกิดขึ้นที่รัฐสภาเมื่อวันที่ 24 ก.ย. ถือว่าน่าเกลียดที่สุด คนที่ทำให้มาถึงจุดนี้ล้วนคนหน้าเดิม ที่เคยทำให้เกิดวิกฤติการเมืองไทยมาแล้วหลายครั้ง “ยังยืนยันว่า ส.ว.มีเจ้าของ เพราะไม่เคยแตกแถว เจ้าของ ส.ว.เล่นเกมสองหน้า หน้าหนึ่งผลักพรรคร่วมเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ อีกหน้าให้ถ่วงเวลา การแสดงความไม่จริงใจวันนี้จะไม่ทำให้เกิดความจริงใจในอนาคต คนสันดานอย่างไรก็สันดานอย่างนั้น แน่นอนว่า วันนี้วิ่งคงไม่พอแล้ว ต้องไล่อย่างเดียว ส.ว.จะต้องเสียใจที่สุดที่ตัดสินใจแบบนี้”
สภาฯแก้ปัญหาไม่ได้ขอลงถนน
นายทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี หรือฟอร์ด แกนนำคณะประชาชนปลดแอก กล่าวว่า การตั้ง กมธ.มาเพื่อยื้อเวลา เป็นการไม่เห็นหัวประชาชน เป็นการปิดสมัยประชุมสภาฯที่น่าอัปยศที่สุด กระบวนการรัฐสภาสามารถแก้ปัญหาประเทศดีที่สุดแล้ว ทำไมสมาชิกผู้ทรงเกียรติถึงเลือกละโอกาสนี้ไป ทำไมถึงปิดประตูรัฐสภาใส่ประชาชน สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าเขากำลังจะผลักให้ประชาชนลงถนน ถ้าในอนาคตประตูของสภาฯไม่ใช่ทางออก ก็ต้องมีแต่การลงถนนเท่านั้นรอ พ้นเดตไลน์ 30 ก.ย. ที่เราประกาศไว้ว่า ส.ว.250ที่มีเจ้าของคือ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องออกจากสภาฯและต้องลบมาตรา 269-272 ออกจากรัฐธรรมนูญขืนยังนั่งอยู่เราจะกลับมายกระดับการชุมนุมแบบใหญ่ๆ ในเดือน ต.ค.แน่นอน เมื่อกระบวนการในระบบปกติไร้ประสิทธิภาพ ก็เป็นหน้าที่ของเราที่จะออกมาแสดงออกว่าต้องการอะไร ขอให้ติดตามว่า การยกระดับการชุมนุมจะเป็นที่ไหนแบบไหน แล้วพบกันเดือน ต.ค.เวลาอยู่ข้างเรา และเราไม่ได้รออยู่เฉยๆ การต่อสู้คือการเร่งเวลา
จัดเสวนา “การศึกษาของผู้กดขี่”
อีกด้านที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ศูนย์ศึกษาและประสานงานด้านสิทธิมนุษยชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จัดสัมมนาทางวิชาการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เพื่อพูดคุยประเด็นการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนว่าด้วยเรื่อง “การศึกษาของผู้ถูกกดขี่ มุมมองและประสบการณ์จากผู้ถูกกดขี่ในระบบการศึกษาไทย” ผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย น.ส.กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ อดีต ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ นายขวัญข้าว ตั้งประเสริฐ นักเรียนโรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย น.ส.ธญานี เจริญกุล แกนนำกลุ่มนักเรียนเลว และ น.ส.จันทิมาพร ชีวะสวัสดิ์ ครูโรงเรียนขอนแก่นวิทยายน มีนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ดาวดิน เป็นผู้ดำเนินรายการ มีนักเรียนและนักศึกษาร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก
นร.ขอเด็กเรียนอย่างมีความสุข
น.ส.ธญานี เจริญกุล แกนนำกลุ่มนักเรียนเลว กล่าวว่า ชีวิตในรั้วโรงเรียนไม่เคยได้เป็นตัวเอง อยู่ ในกรอบที่ถูกกำหนดไว้ รวมทั้งการใช้เกรดคะแนน มาเป็นไม้บรรทัดวัดความสามารถ ทั้งที่นักเรียนมีความหลากหลาย มีความถนัดแตกต่างกัน อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง 2 เรื่อง ให้นักเรียนทุกคนได้เรียนอย่างมีความสุข นำความรู้ที่เรียนไปใช้ได้ในชีวิตจริง ไม่ต้องแข่งขันกัน ไม่ถูกกดขี่
น.ส.ดารณี ราชภูเขียว ผู้ช่วยคณบดีคณะนิติศาสตร์ มข. กล่าวว่า วันนี้ประเด็นเรื่องการศึกษาอยู่ในความสนใจของทุกคน โดยเฉพาะการออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มนักเรียน ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับนักเรียน พร้อมทั้งเปิดพื้นที่ให้กลุ่มที่มีส่วนได้เสีย กลุ่มนักวิชาการที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึง เครือข่ายที่อยู่ในพื้นที่ ได้พูดคุยเพื่อนำไปสู่การวางแนวทางการแก้ไขปัญหาต่อไป
“พิชัย” ชี้ “ตู่” ไม่ออกเศรษฐกิจไม่ฟื้น
ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์บีชรีสอร์ท พัทยา นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน กล่าวในงานเสวนา “ฝ่ายค้านรับฟัง 4 กลุ่มเปราะบาง จากวิกฤติโควิด-19 ภาคอุตสาหกรรมและส่งออก” ว่า การส่งออกของไทยเดือน ส.ค. ยังคงติดลบต่อเนื่องที่ร้อยละ 7.94 แต่ถ้าหักการส่งออกทองคำจะติดลบถึงร้อยละ 14.3 หากมองย้อนหลังจะพบว่าเศรษฐกิจไทยที่ย่ำแย่ปัจจุบัน สาเหตุหลักมาจากการรัฐประหารของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เศรษฐกิจยิ่งมีการระบาดของโควิด-19 เศรษฐกิจน่าจะติดลบร้อยละ 8-10 ทำให้เศรษฐกิจไทยเหมือนหยุดนิ่งมา 6 ปี ที่ผ่านมาเราพึ่งพาการท่องเที่ยวมาหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจ แต่เมื่อเจอโควิด-19 การท่องเที่ยวหายหมด ล่าสุดมีการคาดการณ์ว่าอาจมีคนตกงานมากถึง 11.8 ล้านคน ซึ่งจะเป็นปัญหาหนักของรัฐบาล ขณะที่สภาพัฒน์เองยังเปิดเผยถึงความเหลื่อมล้ำของไทยที่พุ่งสูงขึ้น ทั้งความเหลื่อมล้ำทางรายได้ และความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา
เตือนปราบผู้ชุมนุมเป็นทรราชแน่
นายพิชัยกล่าวต่อว่า รัฐบาลต้องหยุดโกหกประชาชนว่าเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่ง หรือดีกว่าประเทศอื่น ทั้งที่ไม่เป็นความจริง พล.อ.ประยุทธ์หมดความน่าเชื่อถือแล้ว จึงขอเสนอ 8 ข้อเพื่อฟื้นเศรษฐกิจ คือ 1.เร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กลับมา 2.เร่งให้ซอฟต์โลน 1 ล้านล้านบาท ช่วยเหลือภาคธุรกิจ 3.เร่งปรับประเทศเข้าสู่ระบบดิจิทัลอย่างแท้จริง 4.ส่งเสริมอุตสาหกรรมสมัยใหม่ 5.เร่งหารายได้เพิ่มให้รัฐบาล นอกจากรายได้ภาษีอากรที่จะลดลงจากเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ 6.รักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทให้อ่อนค่า เพื่อส่งเสริมการส่งออกทั้งสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าเกษตร 7.ปรับเปลี่ยนงบประมาณให้ทันสมัย เข้ากับกระแสโลก ไม่ใช่ลอกตามปีก่อน ต้องปรับลดงบทหาร งบซื้อ อาวุธ ยกเลิกการซื้อเรือดำน้ำ 8.ให้ความสำคัญกับการศึกษาในทุกระดับรายได้ และต้องยอมรับแนวคิดของนักศึกษาและคนรุ่นใหม่ นี่คือ 8 ข้อเร่งด่วนที่รัฐบาลควรเร่งดำเนินการ เพื่อเป็นพื้นฐานให้ประเทศพัฒนาและฟื้นเศรษฐกิจได้ หาก พล.อ.ประยุทธ์ยังดื้อรั้น ประเทศจะเสื่อมลงเรื่อยๆ และความผิดทั้งหมดจะตกอยู่กับ พล.อ.ประยุทธ์ที่ทำประเทศเสื่อมถอย หากคิดจะปราบปรามผู้ชุมนุมจะกลายเป็นทรราชไปได้เลย
“สมศักดิ์” ปลื้ม “กองทุนยุติธรรม”
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงการดำเนินงานกองทุนยุติธรรมในรอบปีงบประมาณที่ผ่านมา ว่า กระทรวงยุติธรรมวางนโยบายและแนวทางการบรรเทาความเดือดร้อนประชาชน ตามนโยบายรัฐบาลที่จะปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เน้นการส่งเสริมปกป้อง และคุ้มครองสิทธิมนุษยชน สร้างสังคมแห่งความเป็นธรรม กองทุนยุติธรรมให้การสนับสนุนเงินค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือประชาชนในด้านกฎหมาย การฟ้องร้อง การดำเนินคดี หรือการบังคับคดี การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของผู้ได้รับความเดือดร้อน หรือไม่ได้รับความเป็นธรรม ในปี 2563 ที่ผ่านมามีผู้ขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนยุติธรรม 5,989 ราย ได้รับการอนุมัติไป 3,002 ราย เป็นจำนวนเงิน 202 ล้านบาท ปัจจุบันกองทุนยุติธรรมมีภารกิจดูแลประชาชนกว่า 14 ล้านคน แต่งบประมาณที่ได้รับไม่สอดคล้องกับจำนวนประชากรที่ต้องดูแล โดยในส่วนของการสนับสนุนโครงการให้ความรู้ทางกฎหมายในปี 2563 มีการสนับสนุนค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่าเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา สามารถช่วยเหลือประชาชนให้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างเสมอภาคและทั่วถึง นำไปสู่ความสุขของประชาชนอย่างแท้จริง
อ่านบทความและอื่น ๆ ( เพื่อไทยปรับกระบวน “หญิงอ้อ” จัดการพรรคเอง "สมพงษ์" ไขก๊อกหัวหน้าแล้ว - ไทยรัฐ )https://ift.tt/3i6Rw6j
ประเทศไทย
Bagikan Berita Ini
0 Response to "เพื่อไทยปรับกระบวน “หญิงอ้อ” จัดการพรรคเอง "สมพงษ์" ไขก๊อกหัวหน้าแล้ว - ไทยรัฐ"
Post a Comment